30.1 C
Bangkok
Saturday, October 18, 2025
Google search engine
HomeTechพลังงานลมกำลังเผชิญความท้าทายใหม่! จากวิกฤตลมแล้งที่เกิดบ่อยขึ้น

พลังงานลมกำลังเผชิญความท้าทายใหม่! จากวิกฤตลมแล้งที่เกิดบ่อยขึ้น

ช่วงเวลาที่ไม่มีลมเป็นระยะเวลานานกำลังกลายเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ และส่งผลกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าทั่วโลก งานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่า เหตุการณ์ภาวะลมแล้งอาจเพิ่มขึ้นถึง 40% ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

การลดลงของต้นทุนพลังงานหมุนเวียน และแรงกดดันจากเป้าหมายการลดคาร์บอนทั่วโลก ได้ผลักดันให้พลังงานหมุนเวียนเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานความร้อนใต้พิภพ ไปจนถึงพลังน้ำ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีแต่ละแบบต่างก็เผชิญกับความท้าทายเฉพาะตัว และพลังงานลมก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น โดยหนึ่งในความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่คือ “ภาวะลมแล้ง” ซึ่งคุกคามทั้งเสถียรภาพและราคาของพลังงานไฟฟ้า

แม้พลังงานลมจะมีความมั่นคงด้านอุปทานมากกว่าพลังงานแสงอาทิตย์ และมีการติดตั้งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา แต่ภาวะลมแล้งได้กลายเป็นความเสี่ยงใหม่ที่ไม่อาจมองข้าม

ภาวะลมแล้ง หมายถึงช่วงเวลาที่ไม่มีลมหรือมีลมเบาเกินไปสำหรับการผลิตไฟฟ้า ซึ่งคล้ายกับภัยแล้งในด้านน้ำ ปัญหานี้ยิ่งรุนแรงในประเทศที่พึ่งพาพลังงานลมสูง เช่น สหราชอาณาจักร เยอรมนี และเดนมาร์ก แต่แนวโน้มนี้กำลังเกิดขึ้นในหลายภูมิภาคทั่วโลก

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Climate Change เมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 ได้วิเคราะห์ข้อมูลระดับชั่วโมง พบว่าแนวโน้มภาวะลมแล้งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาค โดยความยาวของช่วงเวลาที่เกิดภาวะลมแล้งจะเพิ่มขึ้นถึง 20% ภายใต้สถานการณ์โลกร้อนระดับต่ำ และอาจเพิ่มขึ้นถึง 40% ภายในปี 2100 ภายใต้สถานการณ์โลกร้อนระดับสูง โดยเฉพาะในประเทศแถบละติจูดกลางตอนเหนือซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นและใช้พลังงานมาก

“แนวโน้มนี้เกิดจากความถี่ของพายุไซโคลนในเขตอบอุ่นที่ลดลง และอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในแถบอาร์กติก” รายงานระบุเพิ่มเติม ซึ่งแม้ผลกระทบจะเด่นชัดในบางภูมิภาคมากกว่าอีกภูมิภาคหนึ่ง แต่ก็สามารถสะเทือนไปทั่วโลก

สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ได้เตือนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เรียกว่า “Dunkelflaute” ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาที่การผลิตไฟฟ้าจากลมและแสงอาทิตย์อยู่ในระดับต่ำ ส่งผลกระทบต่อทั้งอุปทานและราคาพลังงาน ในช่วงดังกล่าว มักจะมีเมฆหนาทึบปกคลุม ลดการแผ่รังสีจากแสงอาทิตย์ และมีลมพัดเบา ทำให้เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนทั้งสองไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ตามปกติ

ในช่วงฤดูหนาวปี 2024/2025 รายงาน Electricity 2025 ของ IEA ระบุว่า “มีเหตุการณ์ Dunkelflaute หลายครั้ง แม้จะเกิดในช่วงสั้น ๆ แต่ก็ทำให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและแสงอาทิตย์ลดลงจนอยู่ในระดับต่ำมาก ส่งผลให้ราคาพลังงานพุ่งขึ้นสูงมากในช่วงหลายชั่วโมงของฤดูหนาวในยุโรปตอนเหนือ”

แม้ภาวะลมแล้งจะดูเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงด้านอุปทาน แต่ IEA ชี้ว่า ความเสี่ยงที่แท้จริงอยู่ที่ราคาพลังงาน เนื่องจากระบบต้องหันไปใช้โรงไฟฟ้าที่สามารถควบคุมได้ เช่น โรงไฟฟ้าก๊าซหรือถ่านหิน ซึ่งต้นทุนสูงกว่า

IEA เตือนเพิ่มเติมว่า ระบบพลังงานในอนาคตควรเตรียมรับมือกับภาวะลมแล้งให้มากขึ้น โดยต้องลงทุนในความสามารถในการรับมือ เช่น การเสริมความทนทานของโครงข่าย การใช้เทคโนโลยีรักษาเสถียรภาพ และการกระจายแหล่งพลังงาน

“การมีความสามารถในการผลิตไฟฟ้าที่ควบคุมได้ (Dispatchable Capacity) และระบบกักเก็บพลังงาน รวมถึงการจัดการฝั่งอุปสงค์และการเชื่อมโยงโครงข่ายระหว่างประเทศ จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้า” IEA ระบุ

ติดตามข่าวสารอัปเดตวงการเทคโนโลยี เกม และไลฟ์สไตล์เพิ่มเติมได้ที่ techcatchup.net 
พร้อมช่องทางโซเชียล Facebook | Instagram | TikTok | YouTube | X
admin.techcatchup
admin.techcatchuphttps://techcatchup.net
techcatchup.net — your destination for technology, gaming and lifestyle.
RELATED ARTICLES

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here

- Advertisment -
Google search engine

Most Popular