Mazda ยืนยันว่าแม้จะเผชิญแรงกดดันจากภาษีนำเข้า 25% ของรัฐบาลสหรัฐฯ ทางบริษัทยังไม่มีแผนย้ายฐานการผลิตออกจากญี่ปุ่นหรือสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) แห่งใหม่ โดยจะใช้แนวทาง “ผลิตแบบผสมผสาน” (mixed production) ร่วมกับรถยนต์เบนซิน ดีเซล ไฮบริด และปลั๊กอินไฮบริด บนสายการผลิตเดียวกัน เพื่อประหยัดต้นทุนและคงความยืดหยุ่นสูงสุด
รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับซีรีส์ EZ ที่เคยเปิดตัวในจีนและยุโรป จะเริ่มเข้าสู่สายการผลิตในปี 2027 ที่โรงงาน Hofu 2 ในประเทศญี่ปุ่น โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนสร้างไลน์ผลิต EV แยกต่างหาก
ใช้สายการผลิตเดิม ประหยัดต้นทุน-ปรับตัวเร็ว
Mazda ระบุว่าระบบสายการผลิตใหม่สามารถลดต้นทุนการลงทุนลงได้ถึง 85% และลดระยะเวลาในการเริ่มต้นผลิตลงถึง 80% เมื่อเทียบกับการตั้งสายการผลิต EV แบบเฉพาะ โดยใช้แพลตฟอร์มพาเลตเรียบที่สามารถเลื่อนไปตามพื้นโรงงานแทนสายพานแบบดั้งเดิม รวมถึงยานพาหนะอัตโนมัติสำหรับขนส่งระบบขับเคลื่อนไปติดตั้งกับตัวถังได้ไม่ว่าจะเป็น EV, PHEV หรือเครื่องยนต์สันดาป
จากเดิมที่ใช้เวลา 6 สัปดาห์ ในการขยายสายการผลิต แต่ระบบใหม่นี้ทำให้สามารถดำเนินการได้ภายในเพียง 7 วัน
เตรียมรับมือความผันผวนของตลาด
Mazda ยังใช้กลยุทธ์ “lean asset” โดยพยายามใช้ศักยภาพของโรงงานให้เต็ม 100% และพร้อมปรับอัตราการผลิตระหว่าง EV และไฮบริดให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาดในแต่ละช่วงเวลา
Taketo Hironaka เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงฝ่ายวิศวกรรมการผลิต กล่าวไว้ว่า “เราสามารถผลิตรถไฟฟ้า 100% หรือแม้แต่ 0% ก็ได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า เราเชื่อว่าสำหรับบริษัทขนาดเล็กแบบเรา การใช้สายการผลิตให้เต็มประสิทธิภาพผ่านการผลิตแบบผสมเป็นแนวทางที่ชาญฉลาด”
ภาษี 25% จากสหรัฐฯ: แรงกระแทกที่ต้องรับมือ
Mazda ยอมรับว่าภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนจากญี่ปุ่นที่สหรัฐฯ เพิ่งประกาศใช้ในอัตรา 25% เป็นอุปสรรคใหญ่ โดย Hironaka ระบุว่า “ตัวเลข 25% นั้นเกินจะยอมรับได้ แต่เราจะควบคุมสิ่งที่ควบคุมได้ และหัวใจสำคัญคือ “การควบคุมต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ และหลีกเลี่ยงการลงทุนที่สูญเปล่า”
Mazda มองว่าโรงงาน Hofu 2 คือแบบอย่างของการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถรับมือกับแรงกดดันจากภายนอกเช่นนี้ได้

ติดตามข่าวสารอัปเดตวงการเทคโนโลยี เกม และไลฟ์สไตล์เพิ่มเติมได้ที่ techcatchup.net