Final Fantasy VII Remake เตรียมวางจำหน่ายบน Nintendo Switch 2 และ Xbox Series X|S ในปี 2026 หลังจากเปิดตัวครั้งแรกบน PlayStation 4 เมื่อปี 2020 ก่อนตามมาด้วยเวอร์ชัน PlayStation 5 และ PC ในปีถัดไป ล่าสุด AUTOMATON Japan ได้สัมภาษณ์ Naoki Hamaguchi ผู้กำกับของเกม เกี่ยวกับความท้าทายในการพอร์ตเวอร์ชัน Switch 2 และแนวทางการปรับแต่งให้เกมรันได้อย่างราบรื่นบนเครื่อง
“Nintendo Switch 2 เป็นเครื่องที่มีสเปกดีมาก” Hamaguchi กล่าว “แต่ด้วยข้อจำกัดด้านการใช้พลังงาน ทำให้ระบบจะลดประสิทธิภาพลงเมื่ออยู่ในโหมดพกพา ดังนั้นการพอร์ตแบบตรง ๆ จึงไม่เพียงพอ ทีมเราจึงต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญด้านเรนเดอร์มือดีเพื่อช่วยปรับแต่งระบบให้เหมาะสม”

เพื่อให้เกมรันได้ลื่นไหล โดยยังคงคุณภาพและภาพลักษณ์ให้อยู่ในระดับมาตรฐานยุคใหม่ ทีมพัฒนา FFVII Remake ให้ความสำคัญกับ “ระบบแสง” เป็นพิเศษ “ผมเชื่อว่าระบบแสงคือปัจจัยสำคัญที่สุดในการสร้างภาพและการสื่ออารมณ์ในยุคนี้” Hamaguchi ระบุ
แม้ว่าจะสามารถใช้เทคนิคแบบลดทอนรายละเอียดเพื่อแสดงผลของแสงเงาได้ง่ายขึ้น แต่เขามองว่าแนวทางนั้นจะทำให้ภาพใบหน้าและการแสดงอารมณ์ของตัวละครดูผิดเพี้ยน และทำให้เกมดู “ด้อยคุณภาพ” ดังนั้น ในการพอร์ตลง Switch 2 ทีมงานจึงยังคงการประมวลผลแสงไว้ใกล้เคียงกับเวอร์ชันต้นฉบับ และเลือกไปลดการโหลดในส่วนอื่น เช่น Post-Effect และเอฟเฟกต์หมอกแทน ส่งผลให้ตัวเกมรันได้อย่างมีเสถียรภาพที่ 30 FPS โดยยังคงคุณภาพของงานภาพไว้ครบถ้วน
“ผมรู้สึกดีใจมากที่โปรเจกต์นี้กลายเป็นเหมือนต้นแบบของการพอร์ตเกมระดับไฮเอนด์ลง Switch 2 ได้อย่างดี” Hamaguchi กล่าวเสริม
แม้จะมีข้อจำกัดด้านโหมดพกพา แต่เขายังชมว่า Switch 2 มีแรมมาก ทำให้ขั้นตอนการพอร์ตในโหมดเชื่อมต่อทีวี (Dock Mode) ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น “ถ้าใช้งานเครื่องได้อย่างถูกวิธี ก็สามารถพัฒนาเกมให้มีคุณภาพอย่างที่ผู้เล่นคาดหวังได้แน่นอน โดยรวมแล้ว ผมคิดว่า Nintendo Switch 2 เป็นเครื่องเกมที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ”

Final Fantasy 7 Remake Intergrade มีกำหนดวางจำหน่ายบน Nintendo Switch 2 และ Xbox Series X|S วันที่ 22 มกราคม 2026
ติดตามข่าวสารอัปเดตวงการเทคโนโลยี เกม และไลฟ์สไตล์เพิ่มเติมได้ที่ techcatchup.net
พร้อมช่องทางโซเชียล Facebook | Instagram | TikTok | YouTube | X