Takeshi Ichikawa โปรดิวเซอร์ของ Dragon Quest VII Reimagined ให้สัมภาษณ์กับ Game*Spark เกี่ยวกับเหตุผลที่ทีมงานตัดสินใจรีเมคภาคนี้ขึ้นมาอีกครั้ง โดยมองว่าโทนเรื่องอันลึกซึ้งและกินใจของเกม อาจเข้าถึงใจผู้เล่นในยุคปัจจุบันได้มากกว่าสมัยที่เกมต้นฉบับออกวางจำหน่ายบน PS1
Dragon Quest VII Reimagined คือโปรเจกต์รีเมคใหม่ล่าสุดของแฟรนไชส์ Dragon Quest ซึ่งเลือกใช้กราฟิกแบบ 3D เต็มรูปแบบ ผสมผสานกับโมเดลตุ๊กตาแฮนด์เมดแทนการใช้สไตล์ HD-2D แบบภาครีเมคก่อนหน้า แม้จะมีภาพลักษณ์ที่ดูสดใสคล้ายไดโอรามา แต่เนื้อหาหลักของเกมยังคงหนักแน่นและจริงจังเช่นเดิม
Ichikawa ระบุว่า นอกจากการครบรอบ 25 ปีของ Dragon Quest VII ในปี 2025 ซึ่งถือเป็นจังหวะเหมาะสมในการนำกลับมารีเมค ทีมพัฒนายังมองว่ารสนิยมของผู้เล่นในยุคปัจจุบันเปิดกว้างมากขึ้นสำหรับเรื่องราวที่มีความดราม่า ลึกซึ้ง และกินใจ จึงน่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการนำเสนอเรื่องราวของภาค VII อีกครั้ง
“เราตัดสินใจเริ่มโปรเจกต์ Dragon Quest VII Reimagined เพราะเชื่อว่าโทนบรรยากาศของภาคนี้จะเข้ากับรสนิยมของผู้เล่นยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี สมัยที่เกมวางจำหน่ายครั้งแรกภาค VII เคยถูกพูดถึงว่าเป็นภาคที่มีเนื้อหาลึกซึ้งและกินใจมากกว่าภาคอื่น ๆ แต่ปัจจุบัน ผู้เล่นหลายคนคุ้นเคยกับเกมที่มีโทนเรื่องจริงจังมากขึ้น ผมเชื่อว่าเวอร์ชันใหม่นี้จะช่วยให้ผู้เล่นยุคใหม่สัมผัสอารมณ์ของตัวละครและเนื้อหาได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น”
แม้เนื้อหาแต่ละบทของ Dragon Quest VII จะมีทั้งช่วงเวลาสว่างไสวและสะเทือนใจ แต่แกนหลักของเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “การออกเดินทางเพื่อเปลี่ยนชะตากรรม” ทำให้ผู้เล่นต้องพบเจอกับความตาย ความสิ้นหวัง และบรรยากาศที่ชวนหดหู่ อย่างไรก็ตาม ตัวเกมเวอร์ชันรีเมคจะมีการปรับระบบบางอย่างให้กระชับขึ้น เพื่อให้การดำเนินเรื่องไหลลื่นขึ้นกว่าเดิม แต่เนื้อเรื่องหลักและบทสนทนาจะยังคงไว้เช่นเดิม เพื่อให้ทั้งแฟนรุ่นเก่าและผู้เล่นใหม่ได้สัมผัสประสบการณ์แบบต้นฉบับ
Dragon Quest VII Reimagined มีกำหนดวางจำหน่าย 5 กุมภาพันธ์ 2026 บน PS5, Nintendo Switch, Switch 2, Xbox Series X|S และ PC (Steam)
ติดตามข่าวสารอัปเดตวงการเทคโนโลยี เกม และไลฟ์สไตล์เพิ่มเติมได้ที่ techcatchup.net
พร้อมช่องทางโซเชียล Facebook | Instagram | TikTok | YouTube | X
