Assassin’s Creed เป็นแฟรนไชส์ที่มีอายุยาวนานและยังคงทำยอดขายได้สูง โดยภาคล่าสุดอย่าง Shadows ก็ประสบความสำเร็จทั้งด้านยอดขายและเสียงวิจารณ์ (ทั้งด้านบวกและลบ) เกมในซีรีส์มีการขยายขนาดและเพิ่มระบบที่คล้ายเกม RPG เมื่อเทียบกับภาคเก่า ๆ ที่เริ่มต้นบน Xbox 360 และ PlayStation 3
ล่าสุด อดีตผู้กำกับของ Ubisoft อย่าง Alex Hutchinson (Assassin’s Creed 3 และ Far Cry 4) ได้ออกมาเล่าถึงเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลง โดยเขาเผยว่าทีมงานถูกกดดันให้ “ทำให้แผ่นยังอยู่ในเครื่อง” เพราะฝ่ายบริหารไม่ต้องการให้ผู้เล่นรีบนำเกมไปขายต่อที่ GameStop ซึ่ง Ubisoft จะไม่ได้รับรายได้แม้แต่น้อย ดังนั้น ทีมพัฒนาจึงถูกบอกให้เพิ่มปริมาณเนื้อหาเพื่อให้ผู้เล่นใช้เวลาในเกมนานขึ้น และไม่รีบขายต่อหลังจากเล่นไปเพียงไม่กี่วัน
Hutchinson กล่าวไว้ว่า “ในเวลานั้น Ubisoft กดดันอย่างมากให้ ‘ทำให้แผ่นยังอยู่ในเครื่อง’ เพื่อชะลอการขายต่อ เพราะ GameStop คือผู้ที่ได้เงินจากธุรกรรมแบบนั้นเพียงรายเดียว ดีไซเนอร์จึงถูกขอให้เพิ่มเวลาในการเล่น ซึ่งดูเหมือนจะเป็นวิธีแก้ปัญหาที่เข้าทางผู้เล่นมากที่สุดในแฟรนไชส์ที่โหมดมัลติเพลเยอร์ไม่เคยเวิร์คจริง ๆ”
เขายังเสริมว่า “ผมคิดว่านี่เป็นแฟรนไชส์เดียวที่ผมนึกออกซึ่งสามารถเปลี่ยนแนวเกมแต่ยังรักษาฐานแฟนเอาไว้ได้ มันเป็นความเสี่ยง แต่ดูเหมือนจะได้ผล อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังมองว่ามันเป็นการตัดสินใจที่แปลกสำหรับซีรีส์ที่พยายามออกเกมแทบทุกปี”
“สิ่งที่ผมกังวลคือ หากผู้เล่นใช้เวลาไปแล้วกว่า 200 ชั่วโมงกับ Assassin’s Creed ในภาคหนึ่ง จะยังอยากเล่นภาคใหม่ที่ออกมาในอีกปีถัดไปหรือเปล่า ผมคิดว่าโชคดีที่ซีรีส์มีการเปลี่ยนฉากและตัวละครเอกอย่างมาก ทำให้มันยังรู้สึกสดใหม่กว่าหลายแฟรนไชส์ เลยเอาตัวรอดมาได้ แต่ส่วนตัวแล้ว หัวใจของผมยังอยู่กับแนวแอ็กชันผจญภัยมากกว่าเกมที่ต้องมานั่งจัดการค่าพลังต่าง ๆ ดังนั้นผมจึงคิดถึงวันเก่า ๆ อยู่เสมอ”
ติดตามข่าวสารอัปเดตวงการเทคโนโลยี เกม และไลฟ์สไตล์เพิ่มเติมได้ที่ techcatchup.net
พร้อมช่องทางโซเชียล Facebook | Instagram | TikTok | YouTube | X
