ช่อง YouTube อย่าง Macho Nacho Productions ได้ยกระดับเครื่องเกมพกพา SEGA Game Gear จากยุค 90 ด้วยการติดตั้งเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อทดสอบว่ามันจะยังสามารถยืนหยัดได้อย่างไรในปี 2025 หากมีการปรับปรุงภายในบางจุด
Tito Perez แห่ง Macho Nacho Productions ได้นำ Game Gear เครื่องเก่ามาดัดแปลงใหม่ครั้งใหญ่ ติดตั้งระบบชาร์จ USB-C หน้าจอ HD และบอร์ดเสียงแบบคัสตอมจาก SYF ที่มาพร้อมลำโพงสเตอริโอ
เขาเริ่มต้นด้วยการหาซื้อเมนบอร์ด Game Gear จาก eBay แล้วใช้ปืนดูดตะกั่วแยกชิ้นส่วนสำคัญอย่าง CPU หรือชิป ASIC, พอร์ตเชื่อมต่อ และตัวอ่านตลับเกมออกมา
จากนั้นเขาจึงบัดกรีชิ้นส่วนเหล่านี้ลงบนเมนบอร์ด ที่ถูกออกแบบจากวิศวกรรมย้อนกลับโดยกลุ่มม็อดจากยุโรปชื่อ SYF เนื่องจากเมนบอร์ดดั้งเดิมมักมีปัญหาคุณภาพต่ำและตัวเก็บประจุรั่วจนแทบใช้งานไม่ได้ บอร์ด SYF ยังเพิ่มสวิตช์เปลี่ยนโซนให้สลับระหว่างการตั้งค่าของอเมริกาเหนือกับญี่ปุ่นได้
Tito ได้อัปเกรดด้วยชุดจอ BennVenn GGHD (rev 3) จาก High Score Tech Supply ซึ่งมาพร้อมจอ IPS LCD ขนาด 640 x 480 พิกเซล รองรับโหมดสแกนไลน์และสเกลภาพ รวมถึงมีพอร์ต HDMI สำหรับต่อออกจอภายนอกด้วย อย่างไรก็ตาม ชุดนี้ใช้ได้เฉพาะกับเมนบอร์ด Game Gear รุ่น VA0 และ VA1
สำหรับ Game Gear รุ่นดั้งเดิมใช้จอ LCD ขนาด 3.2 นิ้ว ความละเอียด 160 x 144 พิกเซล แสดงสีได้ 32 สี แต่มีปัญหาเรื่องความคมชัดของภาพ
จุดอัปเกรดที่น่าประทับใจที่สุดอยู่ที่ระบบเสียงและแบตเตอรี่ โดยชิปเสียงโมโน Texas Instruments SN76489 ถูกแทนที่ด้วยบอร์ดเสียงแบบคัสตอมจาก SYF พร้อมลำโพงคู่แบบติดตั้งภายนอก
เดิมที Game Gear ต้องใช้ถ่าน AA ถึง 6 ก้อน และใช้งานได้เพียง 3-5 ชั่วโมงเพราะระบบไฟพื้นหลังแบบฟลูออเรสเซนต์ Tito จึงเปลี่ยนเป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 2 ก้อน ความจุ 2,000 mAh ชาร์จได้ผ่าน USB-C พร้อมไฟ LED แสดงสถานะการชาร์จ
ปิดท้าย เขาบรรจุทุกชิ้นส่วนลงในบอดี้จาก Retro Gear Customs สีม่วงด้าน เพิ่มปุ่ม Start สีส้มแบบคัสตอมและสกรีนตัวอักษรคันจิญี่ปุ่นด้านล่าง
SEGA Game Gear เปิดตัวครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 1990 โดยมียอดขาย 40,000 เครื่องใน 2 วันแรก และทำยอดขายรวมทั่วโลกได้ 10.62 ล้านเครื่องภายในเดือนมีนาคม 1996
อย่างไรก็ตาม ปัญหาตัวเก็บประจุและแบตเตอรี่ ทำให้ Game Gear พ่ายแพ้ต่อ Game Boy ของ Nintendo ซึ่งขายได้ 300,000 เครื่องในญี่ปุ่นภายใน 2 สัปดาห์แรก
Game Gear ทำยอดขายทั่วโลกได้เกือบ 11 ล้านเครื่องภายในปี 1997 และถูกยุติการผลิตช่วงปลายปีนั้น
ถึงอย่างนั้น นักสะสมอย่าง Tito ยังคงพยายามชุบชีวิตฮาร์ดแวร์เก่า ๆ ให้อยู่รอด พร้อมเชื่อมโยงความคิดถึงกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างน่าประทับใจ
ติดตามข่าวสารอัปเดตวงการเทคโนโลยี เกม และไลฟ์สไตล์เพิ่มเติมได้ที่ techcatchup.net
พร้อมช่องทางโซเชียล Facebook | Instagram | TikTok | YouTube | X